ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นสูงมากๆ เพราะฝนตกติดต่อกันหลายๆ วัน กลางวันแทบไม่มีแดดเลย เครื่องวัดความชื้นที่บ้านวัดได้ 80-85% ตลอด แม้ว่าจะเปิดประตูหน้าต่างให้ระบายอากาศมากที่สุดแล้วก็ตาม

ปกติเวลาอากาศชื้นมากๆ แบบนี้ เราจะหายใจลำบาก และที่สำคัญคือโอกาสติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเชื้อโรคชอบความชื้น ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ทำกันมาตลอดคือเปิดแอร์โหมด Dry เพื่อดูดความชื้นออกไป แต่ถ้าอากาศชื้นมากๆ ในระดับ 80-85% นั้น แอร์ก็เอาไม่อยู่ ทำให้ต้องลองมองหาตัวช่วย ซึ่งก็ได้มาเจอกับเครื่องดูดความชื้นของ Xiaomi (ตอนนี้ทั้งบ้านเสียตังให้กับ Xiaomi ไม่รู้กี่อย่างแล้ว 55)

รีวิว Xiaomi Deerma DT16C

จริงๆ Xiaomi ผลิตเครื่องทำความชื้นหลายรุ่นมากๆ แต่ที่สะดุดตารุ่นนี้เพราะมีจอบอกความชื้น และสามารถตั้งค่าความชื้นที่ต้องการได้ รวมถึงราคาถูกกว่าในขนาดเดียวกัน

DT16C มีสเปคคราวๆ คือใช้กับห้องพื้นที่ประมาณ 11-20 ตารางเมตร กินไฟประมาณ 200W กำจัดความชื้นได้สูงสุด 15 ลิตรต่อวัน (ก็คือเปิดเครื่องทั้งวัน จะได้น้ำออกมา 15 ลิตร)

สั่งจากร้าน Pre-order ใน Shopee ได้ที่ราคาประมาณ 4200 บาท แต่ต้องรอประมาณ 10 วัน เนื่องจากของมาจากประเทศจีน นี่คือสภาพกล่องภายนอก อาจจะดูเยินๆ หน่อย แต่ไม่ต้องกลัว เพราะข้างในมีกล่องอีกชั้น

เครื่องดูดความชื้น Xiaomi deerma

เมื่อเปิดกล่องและดึงโฟมกันกระแทกออกจะเจอตัวเครื่อง แผ่นตารางที่เห็นจะเป็นไส้กรองคาร์บอน เอาไว้ช่วยดูดกลิ่นอับ

เครื่องดูดความชื้น Xiaomi deerma

และนี่คือหน้าตาของ Xiaomi Deerma DT16C ถือว่าดูเรียบง่ายสไตล์ Xiaomi ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากพอสมควร ประมาณ 10 กิโล

ข้อเสียอย่างแรกที่ต้องยอมรับก่อนเลยคือ ทุกอย่างเป็นภาษาจีนหมด มีภาษาอังกฤษกำกับนิดหน่อยที่ปุ่ม แต่ตรงไฟสถานะข้างล่างไม่มีภาษาอังกฤษ ต้องใช้ Google Translate โหมดกล้องส่องเอา

– ปุ่มแรก (ซ้ายไปขวา) คือปุ่มตั้งระดับความชื้น กดเพื่อเพิ่มระดับความชื้นทีละ 5%
– ปุ่มที่สองคือความแรงของพัดลม
– ปุ่มที่สามคือการปล่อยประจุลบ หรือไอออนลบ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อและลดกลิ่นอับ
– ปุ่มที่สี่คือตั้งเวลาปิด
– ปุ่มที่ห้าคือเปลี่ยนโหมด จะมีโหมดลดความชื้นกับทำให้ผ้าแห้ง อันนี้ไม่ค่อยเข้าใจว่าต่างกันยังไง แต่โดยปกติเครื่องจะอยู่ในโหมดลดความชื้น
– ปุ่มสุดท้ายคือปุ่มเปิดปิด

คู่มือก็ภาษาจีนด้วย -*- จะอ่านรู้เรื่องไหม 555

การใช้งาน

ด้านหลังจะเป็นช่องดูดอากาศเข้า และถังเก็บน้ำที่ได้จากการดูดความชื้นในอากาศ ซึ่งมีความจุประมาณ 2 ลิตร

เครื่องดูดความชื้น xiaomi dt16c

แต่เนื่องจากเครื่องนี้สามารถดูดความชื้นได้สูงสุด 15 ลิตรต่อวัน แสดงว่าในวันที่อากาศชื้นมากๆ เปิดเครื่องประมาณ 3-4 ชม น้ำก็จะเต็มถังแล้ว

ดังนั้นเครื่องจึงออกแบบให้มีช่องเสียบสายยางเพื่อระบายน้ำออกได้ ในกรณีที่เราขี้เกียจมาคอยเทน้ำ (เครื่องจะหยุดทำงานอัตโนมัติเมื่อน้ำเต็มถัง)

เครื่องดูดความชื้น Xiaomi

เมื่อกดเปิดเครื่องหน้าจอจะแสดงความชื้น สลับกับอุณหภูมิในอากาศ แต่ข้อเสียคือไม่มีหน่วยบอกตามหลัง มีแต่ตัวเลข (เปลี่ยนไม่ได้) และหน้าจอเป็นไฟ 7 segment LED ธรรมดา ไม่ใช่จอสัมผัส ในรูปนี้ อากาศชื้นอยู่ที่ 78% และอุณหภูมิ 27 C หน้าจอแสดงเป็นวงกลมสีแดงเพราะความชื้นสูง สีจะเปลี่ยนไปเป็นสีเขียวและสีฟ้าเมื่อความชื้นลดลง

เครื่องสามารถตั้งระดับความชื้นที่ต้องการได้ (กดปุ่มซ้ายสุด) โดยแบ่งเป็นขั้นๆ ขั้นละ 5% เช่น 40, 45, 50, 55, ….โดยเมื่อความชื้นไปถึงระดับที่ตั้งไว้เครื่องจะตัดการทำงานโดยอัตโนมัติ

เครื่องดูดความชื้น Xiaomi

เสียงเครื่องมีความดังพอสมควร เพราะหลักการทำงานจะมี Compressor อยู่ข้างในแบบเดียวกับตู้เย็นและแอร์ ดังนั้นถ้าไว้ในห้องนอน อาจจะรำคาญได้เหมือนกัน

เมื่อเปิดเครื่องไปสักพัก ประมาณ 5-10 นาทีจะเห็นน้ำหยดลงมาในถังเก็บแล้ว ลองจับเวลา จะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมงถึงเต็มถัง

ห้องที่ได้ลองใช้เครื่องนี้มีพื้นที่ประมาณ 23 ตรม ซึ่งเกินกว่ากำลังของเครื่องไปนิดหน่อย เมื่อทดลองเปิดประมาณ 2 ชั่วโมงก็พบว่าความชื้นลดลงประมาณ 10% จาก 72% เหลือ 62% (เปิดแอร์อยู่ด้วย)

เครื่องวัดความชื้น xiaomi

ลมที่ออกมาจากเครื่องจะมีความแห้งและอุ่นเล็กน้อย ถ้าไว้ในห้องขนาดเล็กโดยไม่เปิดแอร์ จะร้อนได้

เครื่องวัดความชื้น xiaomi

สรุป

คะแนนรวม

โดยรวมถือว่าโอเคสมตามราคา สามารถดูดความชื้นได้จริง ทำให้หายใจสบายขึ้น แต่ควรใช้งานในห้องปิดที่เปิดแอร์ เพราะอากาศที่ออกมาจะร้อน เครื่องมีเสียงการทำงานที่ค่อนข้างดัง ซึ่งเป็นปกติของเครื่องดูดความชื้นทุกรุ่น ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการไว้ในห้องนอน ยกเว้นแต่ไปวางไว้ไกลๆ เตียงอาจจะพอไหว นอกจากนี้เครื่องยังสามารถเอาไปไว้ในห้องที่ตากผ้า ทำให้ผ้าแห้งในวันที่ฝนตกได้ด้วย

แต่ถ้าห้องมีขนาดใหญ่อาจจะต้องซื้อรุ่นที่ใหญ่กว่านี้ โดยรวมสำหรับราคา 4 พันต้นๆ ถือว่าคุ้ม

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ