เทสล่า โมเดล Y

ตอนนี้หลายคนตื่นเต้นกับราคาหุ้นของ Tesla มาก ที่วิ่งขึ้นลงถึง 30-40% ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา และหากมองย้อนไปถึงปีที่แล้วก็ทำสถิติวิ่งจากราคา $180 ไปถึงจุดสูงสุดที่ $970 คำถามคือเกิดอะไรขึ้นกับ Tesla?

Tesla ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ธรรมดาทั่วไป

นักวิเคราะห์และคนส่วนใหญ่มักจะมองและประเมินมูลค่ายบริษัทของ Tesla โดยการนำไปเทียบกับผู้ผลิตรถเจ้าเก่า (หรือแม้กระทั่ง Bitcoin ก็ถูกนำมาเทียบแล้ว) สำหรับผมนั้นไม่ได้ให้น้ำหนักการเทียบมูลค่าบริษัท (Market Cap) Tesla กับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่าง GM/Ford/Volkswagen มากนัก เหตุผลคือตลาดไม่ได้ให้ P/E กลุ่มนี้มากอีกแล้วเพราะแทบไม่เติบโต จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเทรดที่ P/E ต่ำกว่า 10 ซะส่วนใหญ่ ล่าสุดงบปี 2019 ออก ผู้เล่นหน้าเก่ายอดขายแทบไม่ขยับหรือหดตัว โดยเฉพาะ Ford/GM ที่ถึงขั้นขาดทุน แถมยังเตรียมแผน layoff กันถ้วนหน้าทั้ง Daimler (ผู้ผลิต Benz) BMW และ Volkswagen

นอกจากนี้หลายประเทศก็เริ่มมาตรการแบนรถน้ำมัน เช่นอังกฤษที่ประกาศว่าภายในปี 2035 ห้ามซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน (ดูภาพข้างล่าง) ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์เหล่านี้ยังไม่มีรถ EV ของตัวเองที่ผลิตในระดับ Mass เลยแม้แต่เจ้าเดียว (อาจจะมี Chevy Volt ของ GM แต่ไม่ค่อยนิยมเพราะแบตเตอรี่วิ่งได้จำกัด)

กฏหมายรถ EV

ในขณะ GM และ Ford กำลังลำบาก กลับกันยอดขายของ Tesla โตด้วยอัตรา >50%  มากว่า 5 ปีแล้ว และยิ่งจะเพิ่มขึ้นเรื่อยตามจำนวนโรงงานที่เปิดใหม่ (ล่าสุด Gigafactory Shanghai และ Berlin) ลองคิดง่ายๆ ถ้าเรารู้ว่าซื้อรถน้ำมันในตอนนี้แล้วในอีก 10 ปี ข้างหน้าจะขายต่อไม่ได้เพราะกฏหมายห้าม เราก็คงไม่ซื้อ และรอรถ EV แทน (แต่สำหรับประเทศไทย รัฐบาลของเราก็ยังคงรักรถน้ำมันและกีดกันรถยนต์ EV ต่อไป)

Tesla เป็น Tech Company

สัดส่วนรายได้ของ Tesla นั้นต่างจาก legacy automaker มาก เพราะไม่ได้เน้นขายอะไหล่และ after service แต่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพวิศวกรรมการผลิต เช่นการใช้ระบบ automation (หุ่นยนต์) ในโรงงานการนำข้อเสียที่เคยเจอกลับมาแก้ไขในการออกแบบ production line ใหม่

ภาพข้างล่างคือโรงงานที่ Fremont ซึ่งเป็นโรงงานแรกของ Tesla โดย Elon ยอมรับว่าออกแบบได้ไม่ดี จะเห็นว่า production flow สับสนมาก จึงได้ redesign ใหม่ตอนที่สร้าง Gigafactory 3 ที่ Shanghai ทำให้ลดเวลาการผลิตและต้นทุนลงไปมาก

ภาพข้างล่างคือหุ่นยนต์กำลังผลิต Model Y

ในส่วนของการขาย Tesla ตัดระบบ dealership ออกไป และใช้วิธีการขายทาง Online มีเพียงโชว์รูมเล็กๆ เอาไว้โชว์รถ จึงไม่ต้องเสียส่วนแบ่งกำไร นอกจากนี้ยังใช้รถซ่อมเคลื่อนที่ (service fleet) ในการขับไปซ่อมที่บ้านลูกค้าแทนการเปิดศูนย์บริการ และที่สำคัญที่สุดก็คือการใช้ระบบ OTA (Over the Air) ในการอัพเดท software ซึ่งลดต้นทุน after service ไปมาก แถมยังเป็นช่องทางรายได้สำคัญในอนาคตคือ การซื้อ upgrade package และ subscription ต่างๆ เช่น เราสามารถซื้อ package เพิ่มอัตราเร่งรถได้ในราคา $2000 ด้วยการกดปุ่ม รถก็จะโหลดข้อมูลมาอัพ firmware ให้ ซื้อ data plan ในราคา $10 ต่อเดือนเพื่อดู Map ฟังเพลง ดู Netflix และเล่น Internet หรือแม้กระทั่งซื้อระบบ Auto-Pilot ในราคา $7000 เพื่อให้รถขับแบบอัตโนมัติ

ในส่วนของ Software มีต้นทุนพัฒนาครั้งเดียว รายได้ที่เข้ามาเมื่อคุ้มทุนแล้วจะเป็นกำไรล้วนๆ จึงเห็นว่า เราไม่ควรติดกับดักการเปรียบเทียบ Tesla กับผู้ผลิตรถ แต่ควรมองเป็น Tech stock มากกว่า แม้ตอนนี้ Tesla เพียงแค่เริ่มทำกำไรได้ (ซึ่งอาจจะกลับไปขาดทุนได้อีก) แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มี Economy of scale แล้ว Tesla จะกำไรมหาศาล

อนาคตของ Tesla

ปัจจุบัน Tesla มี EV Product ตัวเดียวที่ผลิตในระดับ Mass ก็คือ Tesla Model 3 (ไม่นับ Model X และ S เพราะยอดขายน้อย ราคาสูง) แต่อีกไม่กี่เดือน Tesla จะเริ่มผลิตและส่งมอบ Model Y ซึ่งเป็นกลุ่ม Compact SUV ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีผู้ใช้เยอะที่สุดในอเมริกา Elon Musk ถึงกับกล่าวไว้ว่า Model Y จะมียอดจายมากกว่า Model 3, S และ X รวมกันซะอีก และในปีถัดไป Tesla ก็จะเริ่มผลิต CyberTruck และ Semi ซึ่งเป็นรถ 10 ล้อสำหรับธุรกิจขนส่ง

cybertruck

ยังไม่นับว่า Tesla มีธุรกิจที่เป็น non-EV segment อื่นๆ ที่กำลังเติบโต เช่น Solar roof, energy storage, subscription, insurance และในอนาคตอาจจะขาย battery ให้กับผู้ผลิต EV เจ้าอื่นอีก รวมถึงความได้เปรียบเรื่องสถานีชาร์จ supercharger network และ battery technology ที่เจ้าอื่นสู้ไม่ได้เลย ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ Porche Taycan ที่ราคาแพงกว่า Tesla Model 3 หลายเท่าแต่ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ต่ำมาก แถมระบบ Software นั้นขลุกขลักและดูหลงยุค ในส่วนของ VW ที่พยายามเข็น Volkswagen ID.3 ออกมา ตอนนี้กลายเป็นต้อง Delay ยาวไปอีก 1 ปี เพราะติดปัญหาระบบการอัพเดท Software ที่ใช้งานจริงไม่ได้

เทสล่า โมเดล 3

ตรงนี้เองทำให้หลายๆ คนเริ่มมองเห็นอนาคตของ Tesla และเริ่มซื้อหุ้น รวมถึงกองทุนใหญ่ๆ หลายๆ กองของอเมริกาก็เริ่มให้ความสนใจ และถ้าหาก Tesla สามารถสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง ก็จะมีโอกาสถูกนับรวมเข้าไปใน S&P 500 Index ซึ่งจะทำให้กองทุนดัชนีหลายกองๆ ต้องซื้อหุ้น Tesla นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาพข้างล่างคือข้อมูลการส่งมอบรถยนต์ และกระแสเงินสด จะเห็นว่า Tesla สามารถสร้างกระแสเงินสดที่เป็นบวกได้แล้วในช่วงปีที่ผ่านมา (ยกเว้น Q1 2019 ที่มีปัญหาด้านการขนส่ง เนื่องจากเป็นปีแรกที่มีการส่งออก Model 3 ไปขายนอกอเมริกา)

เทสล่า งบการเงิน

ส่วนตัวผมเองติดตาม Tesla มานาน และตัดสินใจซื้อหุ้นกลางปีที่แล้วในราคา $230 ซึ่งตอนนี้วิ่งขึ้นไปเกือบ 4 เท่า ยอมรับว่ามีแบ่งขายไปบางส่วน แต่ยังไงก็เตรียมซื้อกลับแน่นอน เพราะเรารู้แน่แล้วว่า EV และ Renewable energy คืออนาคต และผู้นำในกลุ่มนี้ตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ Tesla

แต่ถึงแม้อนาคตของ Tesla จะดูสดใสเพียงใดก็ตาม อนาคตของการที่มันจะมาไทยนั้น ก็ยังคงมืดมนต่อไป

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ