เครื่องกรองน้ำ RO แบบที่นิยมใช้กันตามบ้านอาศัยทั่วๆ ไปคือแบบ 5 ขั้นตอน ซึ่งก็คือมี 5 ไส้กรองนั่นเอง แต่คำถามก็คือ ไอ้ 5 ไส้กรองนั่นนะ มีอะไรบ้าง แต่ละแบบแตกต่างกันยังไง จะต้องซื้อยี่ห้อไหนมาเปลี่ยน ในโพสนี้ผมจะพยายามอธิบายแบบคร่าวๆ ให้ได้เข้าใจกัน ลองอ่านดูได้เลยครับ
ชั้นที่ 1: ไส้กรองหยาบ (Sediment Filter)
เป็นด่านแรกของเครื่องกรองน้ำ ทำหน้าที่คอยกรองฝุ่น ตะกอนและสารแขวนลอย ต่างๆ ที่ติดมากับน้ำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของไส้กรองชั้นถัดๆ ไป หลักๆ มีอยู่ 2 ชนิดที่มักจะใช้กันคือแบบใยสังเคราะห์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ไส้กรอง PP (ย่อมาจาก Polypropylene) กับอีกแบบหนึ่งคือไส้กรองเซรามิค ถามว่าต่างกันยังไง โดยปกติ PP จะมีราคาที่ถูกกว่า กรองได้ละเอียดน้อยกว่า โดยความละเอียดที่กรองได้จะอยู่ที่ประมาณ 1-10 ไมครอน (ยกเว้นรุ่นแพงมากๆ จะกรองได้ละเอียดถึง 0.45 ไมครอน) ส่วนไส้กรองเซรามิคจะกรองได้ประมาณ 0.5 ไมครอนตั้งแต่รุ่นถูกสุด
ถามว่าเลือกใช้อันไหนดี ขอตอบว่าหากจะนำมาใช้กับเครื่องกรองน้ำ RO ควรใช้แบบ PP มากกว่า เพราะเซรามิคนั้นน้ำไหลผ่านได้น้อย ล้างยาก ไส้กรองตันเร็ว ทำให้ปั๊มน้ำในระบบต้องทำงานหนักตลอดเวลา และอาจทำให้ระบบรวนได้ ไส้กรอง PP มีราคาที่ถูกกว่า (ประมาณ 20-30 บาท) ดังนั้นสามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆ ส่วนเรื่องความสะอาดไม่ต้องกังวล เพราะยังไงก็ตามสิ่งแปลกปลอมจะต้องถูกกรองในไส้กรอง RO ที่ละเอียดกว่าอยู่แล้ว ไส้กรองชั้นนี้เป็นเพียงการกรองหยาบเพื่อยืดอายุไส้กรองละเอียดเท่านั้น
อายุการใช้งานประมาณ 3-6 เดือน แต่บางบ้านใช้น้ำประปาสะอาด อาจจะใช้วิธีล้างเอาและใช้ได้ถึง 1 ปี
ชั้นที่ 2: ไส้กรองคาร์บอน (Activated Carbon Filter)
เป็นด่านที่สองของเครื่องน้ำ ทำหน้าที่กรองกลิ่น สี รส และสารอินทรีย์ต่างๆ เช่นสารพิษ ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก ไส้กรองคาร์บอนจะผลิตจากถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) มีใช้กันหลักๆ 2 แบบคือ แบบเกล็ด (Granule Activated Carbon) หรือนิยมเรียกว่า GAC ลักษณะจะเป็นแบบกระบอกพลาสติก มีทางน้ำเข้าออกที่หัวท้ายดังในรูป
ส่วนอีกแบบคือแบบแท่ง (Carbon Block) บางครั้งคนเรียกไส้กรองประเภทนี้ว่า ไส้กรอง CTO (ย่อมาจาก Color, Taste, Odor) ลักษณะจะเป็นแท่งคาร์บอน ด้านนอกมีแผ่นกรองบางๆ อีกชั้นหุ่มด้วยตาข่าย
ถามว่าต่างกันยังไง แบบเกล็ดจะกรองได้หยาบกว่า แต่ให้อัตราการไหลที่ดีกว่าแบบแท่ง ถ้าหากที่บ้านน้ำสกปรกมีกลิ่นแรงก็ควรใช้แบบแท่ง แต่ถ้าน้ำสะอาดอยู่เดิมแล้วจะใช้แบบ GAC ก็จะลดภาระการทำงานของปั๊มน้ำได้
อายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน แต่บางบ้านใช้น้ำประปาสะอาด อาจใช้ได้ถึง 1 ปี
ชั้นที่ 3: ไส้กรองปรับสภาพน้ำ (เลือกได้อิสระ)
ไส้กรองชั้นที่ 3 เราสามารถเลือกได้อิสระว่าจะใช้แบบไหน เครื่องกรองน้ำหลายรุ่นนิยมใช้ไส้กรองคาร์บอนอีกชั้นนึง เพื่อการกรองกลิ่น สี รสให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่นบ้านผมก็จะใช้ ชั้นที่ 1 เป็นไส้กรอง PP ชั้นที่ 2 เป็นแบบเกล็ด (GAC) และชั้นที่ 3 เป็นแบบแท่ง (Block) แต่ในขณะที่บางบ้าน น้ำดิบที่เข้ามาอาจมีความกระด้างสูง (มีหินปูนมาก) ซึ่งต้องใช้ไส้กรองเรซิ่น (Resin Filter) ช่วย ไส้กรองชั้นที่ 3 นี้แล้วแต่การใช้งานของแต่ละบ้านเลย ไม่มีข้อบังคับตายตัว หน้าตาของไส้กรองเรซิ่นจะคล้ายๆ กับไส้กรองคาร์บอนแบบเกล็ดคือเป็นกระบอกพลาสติก เพื่อไม่ให้สับสนจึงนิยมให้เป็นสีเหลือง
ชั้นที่ 4: ไส้กรองเมมเบรน RO (RO Membrane)
ไส้กรองนี้คือหัวใจของเครื่องน้ำ RO สามารถกรองได้ละเอียดที่สุดถึง 0.0001 ไมครอน (เล็กกว่าเส้นผมประมาณ 500000 เท่า) ซึ่งกรองได้ถึงระดับแบคทีเรียและไวรัส และสิ่งแปลกปลอมทุกอย่าง ด้วยความที่ไส้กรองมีความละเอียดมาก จึงต้องมีปั๊มน้ำคอยสร้างแรงดัน น้ำที่ผ่านไส้กรอง RO จะได้น้ำดีออกมาใช้จริงแค่ประมาณ 30% ส่วนอีก 70% ที่เหลือจะไหลทิ้งหมด (ยื่งไส้กรองเสื่อมสภาพ ปริมาณน้ำทิ้งจะยิ่งเยอะขึ้น)
ไส้กรอง RO มีหลายยี่ห้อมาก แต่เจ้าที่เป็น Original และมีคุณภาพที่เชื่อถือได้แน่นอนคือรุ่น Filtec ของ Dow Chemical (นำเข้าจากอเมริกา) ส่วนของ Ultratek และ Colandas นั้นจะเป็นเกรดรองลงมา ราคาก็จะถูกกว่าพอสมควร ใช้งานได้ดีเหมือนกัน แต่สำหรับผม ถ้าจะให้แนะนำควรลงทุนใช้ของดีหน่อย เนื่องจากเป็นไส้กรองชั้นที่สำคัญที่สุด ชั้นอื่นพลาดไม่เป็นไร แต่ถ้าชั้นนี้พลาดคือน้ำไม่สะอาดทันที
อายุการใช้งานประมาณ 1-1.5 ปี ถ้าน้ำดิบสะอาดอาจได้ถึง 2 ปี
ชั้นที่ 5: ไส้กรองปรับรสชาติน้ำ (Inline Filter)
เป็นไส้กรองชั้นสุดท้ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสะอาด แต่เป็นการปรับรสชาติ และ pH ของน้ำให้บริสุทธิ์ ลักษณะจะเป็นกระเปาะ (บางคนเรียกแคปซูล) ข้างในจะเป็นคาร์บอนอัดแท่งที่ทำจากกากมะพร้าว ทำให้บางครั้งถูกเรียกว่า Post-Carbon Filter บางคนอาจสงสัยว่า จะต้องมีทำไมในเมื่อไส้กรองเมมเบรนก็สามารถกรองได้สะอาดอยู่แล้ว คำตอบก็คือเมมเบรนกรองสารละลายทุกชนิดได้จริง แต่ไม่สามารถกรองก๊าซที่ปนอยู่ในน้ำได้ เช่น ถ้าเราเอาน้ำโซดาที่อัดแก๊ส CO2 มาผ่านเมมเบรน น้ำก็ยังจะซ่าอยู่ ไส้กรอง post-carbon จะทำหน้าที่ดูดซับก๊าซใดๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำ และทำให้รสชาติน้ำเปลี่ยน
อายุการใช้งานประมาณ 1-1.5 ปี
ไส้กรองน้ำ RO ยี่ห้อไหนดี
สมัยก่อน เครื่องกรองน้ำ RO มีราคาแพง ทำให้บางคนนิยมใช้ไส้กรองเกรดต่ำ เพื่อลดต้นทุน แต่ในปัจจุบันราคาถูกลงมาก ทำให้เรามีตัวเลือกเยอะขึ้น สำหรับยี่ห้อไส้กรองที่เป็นที่นิยมและคุ้นหูในประเทศไทยก็คือ Omnipure (USA), Colandas และ Aquatek การใช้งานดีพอๆ กัน สามารถใช้งานเกินปีได้ถ้าน้ำดิบไม่สกปรก แต่ถ้างบไม่จำกัด ยี่ห้อ Dow คือไส้กรองเกรด A ส่วนยี่ห้ออื่นๆ อาจจะใช้งานได้ แต่ถ้าราคาถูกมากๆ ก็ควรระวังไว้ เครื่องกรองน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากเรากินน้ำทุกวัน ถ้าคุณไม่มีปากกาวัดค่าความสะอาดของน้ำ (ผมเคยเขียนรีวิวไว้) ก็อย่าใช้ไส้กรองโนเนมราคาถูก
เพราะวันดีคืนดีไส้กรองเมมเบรนฉีกขาด หรือมีสารเจือปนจากการผลิตเราจะไม่รู้เลย
จบแล้วครับสำหรับเรื่องไส้กรอง RO คราวหน้าผมจะเขียนเกี่ยวกับขั้นตอนการเปลี่ยน รอหน่อยนะครับ
อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ