น้ำยาล้างหัวฉีด มาสด้า

เชื่อว่าหลายๆ คนเวลาเอารถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือเช็คระยะ ก็มักจะต้องเจอศูนย์เสนอการเติมน้ำยาล้างหัวฉีดให้เพิ่มเติมจากรายการปกติ ในราคาขวดละ 200-500 บาทแล้วแต่ยี่ห้อ เคยถามเขากลับไปว่ามันจำเป็นเหรอ แล้วมันได้ผลไหม เค้าก็บอกว่าไม่จำเป็น แต่เติมแล้วก็ดีกว่าในระยะยาว ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ ฯลฯ แต่ก็มีหลายคนที่เติมแล้วบอกว่าไม่เห็นความแตกต่างใดๆ รถใช้มาหลายแสน กม ไม่เคยเติมก็ไม่เห็นพัง วิ่งได้ปกติดี แล้วเราจะรู้ได้ยังไง? วันนี้เราจะมาดูรายละเอียดและผลจากการทดลองจริงกันครับ

*บทความนี้เขียนเอง ซื้อใช้เอง ไม่มีค่าโมษณาใดๆ ครับ

ทำไมต้องล้างหัวฉีด

ในเครื่องยนต์ของรถเราจะมีการเผาไหม้เกิดขึ้นตลอด โดยเอาน้ำมันผสมกับอากาศและใช้หัวเทียนในการจุดระเบิด ซึ่งการเผาไหม้ในแต่ละครั้ง จะมีเขม่า ควันและสิ่งสกปรกเกิดขึ้นตลอดเวลาและถูกขับออกทางท่อไอเสีย อย่างไรก็ตามจะมีบางส่วนที่ตกค้างอยู่และเกาะติดกับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ เกิดเป็นคราบเขม่า คราบสกปรก ซึ่งเมื่อใช้รถไปนานเข้าๆ คราบก็จะยิ่งเกาะหนาขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้ประสิทธิภาพต่ำลง มีอาการสั่นกระตุก โดยเฉพาะเวลารอบต่ำ กินน้ำมันมากขึ้น ถ้าหนักๆ เข้าก็เกิดอาการเร่งไม่ขึ้น หัวฉีดตัน

โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสกปรกเกิดขึ้นเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับ 2-3 อย่าง

1. คุณภาพของน้ำมันที่เติม อันนี้สำคัญมาก ปั๊มน้ำมันเก่าๆ ที่มีระบบเก็บน้ำมันไม่ดี จะทำให้น้ำมันสกปรก มีน้ำเจือปน มีสนิมที่ก้นถัง มีฝุ่นละอองลงไป ฯลฯ แม้ไส้กรองน้ำมันเบนซินในรถจะกรองไว้ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ 100% สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในเครื่องยนต์เกิดเป็นความสกปรกสะสมแน่นอน ถ้าเป็นไปได้ ให้เลือกเติมปั๊มใหม่ๆ ที่มีระบบเก็บน้ำมันที่น่าเชื่อถือจะช่วยลดความเสี่ยงได้

2. แก๊สโซฮออล์ ส่วนผสมที่เติมลงไปในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในบ้านเราคือ เอทานอล ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน และทำปฏิกิริยากับชิ้นส่วนต่างๆ ในระบบเชื้อเพลิง เกิดเป็นสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ได้ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่ยังไม่ได้รองรับแก๊สโซฮอล์ ถ้าเติมลงไปมักจะมีปัญหา สายน้ำมันรั่ว หัวฉีดอุตตัน ฯลฯ

3. อายุของเครื่องยนต์  ไม่มีอะไรในโลกนี้ทำงานได้สมบูรณ์แบบ 100% เครื่องยนต์ก็เช่นกัน ไอเสียที่เกิดขึ้นและหลงเหลืออยู่จะจับตัวกันเป็นคราบเขม่า (Carbon) ซึ่งจะเกาะติดชิ้นส่วนต่างๆ เครื่องยนต์รุ่นใหม่ๆ จะเผาไหม้ได้ดีกว่ารุ่นเก่า ทำให้เกิดคราบเขม่าได้ช้ากว่า

น้ำยาล้างหัวฉีดทำหน้าที่อะไร

จากที่กล่าวมาข้างบน การที่เราจะรอให้เครื่องยนต์สกปรกถึงขึ้นมีปัญหาก่อนแล้วค่อยไปล้าง ก็ไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะการล้างนั้นค่อนข้างใช้เวลา และมีค่าใช้จ่าย วิศวกรจึงได้คิดค้นวิธีล้างแบบง่ายๆ คือ ผสมสารทำความสะอาดลงไปในน้ำมันซะเลย แล้วพอมันเข้าไปในเครื่องยนต์ก็จะได้เป็นการล้างชิ้นส่วนไปด้วยในตัว สิ่งสกปรกก็ให้หลุดรวมไปกับไอเสียซะ เออ ง่ายจริงๆ ด้วย

หน้าตาขวดก็จะประมาณนี้

น้ำยาล้างหัวฉีด stp

อันนี้ของมาสด้า (ผมซื้อมาใช้เอง ซื้อ Online จะถูกกว่าซื้อศูนย์อยู่ร้อยกว่าบาท)

น้ำยาล้างหัวฉีด มาสด้า

โดยส่วนผสมที่เค้าใช้มักจะมีอยู่ไม่กี่ตัว คือ Polyether Amine (PEA) และ Polyisobutylene Amine (PIBA) เวลาถูกเติมลงไป มันจะไปทำปฏิกิริยากับคราบเขม่า คราบ Carbon ที่อยู่ภายในเครื่องยนต์ จากนั้นถูกเผาไหม้รวมไปกับน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วค่อยถูกขับออกไปทางท่อไอเสีย

*ผู้ขายบางคนเรียกเจ้าตัวนี้ว่าหัวเชื้อน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องสักทีเดียวนัก แต่ก็พออนุโลมได้ แต่อย่าสับสนตัวนี้กับ หัวเชื้อน้ำมันเครื่อง เพราะคนละหน้าที่กันเลย หัวเชื้อน้ำมันเครื่องเค้าเคลมว่าช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ (ก็ว่ากันไป)

แล้วมันได้ผลจริงไหม จำเป็นจริงหรือเปล่า

อันนี้เป็นภาพจากคลิปการทดสอบก่อนหลังของวาล์วไอดีในเครื่องยนต์ อันซ้ายคือก่อนเติม และอันขวาคือหลังเติม จะเห็นว่าคราบเขม่าถูกล้างออกไปเกือบหมดเลยทีเดียว

น้ำยาล้างหัวฉีด จำเป็นไหม

แต่ๆๆ …. แต่อย่าลืมว่ามันคือผลการทดลองในห้อง Lab ปัญหาคือ มันใช้ได้ผลจริงๆ กับคราบที่ยังไม่ฝังแน่น ได้มี YouTuber ช่องรถยนต์ชื่อดังหลายคนทดสอบแล้ว โดยเติมน้ำยาล้างหัวฉีดพวกนี้ลงไปในรถที่ผ่านการวิ่งมาหลักแสนกิโล (โดยไม่เคยเติมน้ำยาพวกนี้มาก่อนเลย) เขาได้ถ่ายรูปลูกสูบ ก่อนการเติม และหลักการเติม แล้วเอามาเทียบกันพบว่า คราบหายไปจริงๆ แต่คราบที่แน่นมากๆ ก็ยังคงเหลืออยู่ไม่ยอมออก ลองดูได้ในคลิปข้างล่างนี้

ก็คือ มันได้ผลจริง ล้างคราบเขม่าได้จริง แต่ต้องไม่ปล่อยมันไว้นานเกินแก้ไข ดังนั้นถ้าเราตั้งใจจะเติม ควรเติมมันเป็นประจำ สัก 2-3 หมื่นกิโลต่อขวด จะได้ผลดีกว่า ส่วนที่ว่าจำเป็นต้องเติมหรือไม่ อันนี้คงตอบยาก เพราะเครื่องยนต์แต่ละยี่ห้อถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน น้ำมันที่เติมก็ไม่เหมือนกัน คนบางคนบ้านอยู่ละแวกที่ปั๊มน้ำมันมีถังเก็บได้มาตรฐาน เติมแต่น้ำมันมีคุณภาพ ไม่มีความชื้นเจือปน ก็สกปรกช้ากว่า ใช้เป็นแสนกิโลก็ไม่มีปัญหา แต่จะมี Mazda อยู่เจ้านึงที่ระบุว่า จำเป็นต้องเติมทุก 10000 km ถ้าไม่เติม ทางศูนย์มีสิทธิปฏิเสธการรับประกัน!!

ไอ้หย๋า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วเจ้าอื่นทำไมไม่บังคับแบบนี้บ้างละ?

ส่วนตัวคิดว่าเป็นเพราะเครื่องยนต์มาสด้า Skyactiv เป็นระบบหัวฉีดตรง หรือ Direct Injection ก็คือฉีดน้ำมันเข้าสู่กระบอกสูบโดยตรง แทนที่จะฉีดจากด้านบนเหนือวาล์วไอดี (Port Injection) วิธีนี้มีข้อดีก็คือเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงกว่า อัตราเร่งดีกว่าในรอบสูงๆ แต่ข้อเสียคือหัวฉีดอุดตันได้ง่าย และวาล์วไอดีสกปรกเร็ว ดังนั้นผมเข้าใจว่ามาสด้าต้องการจะลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว ก็เลยบังคับให้ลูกค้าทุกคนเติมน้ำยาล้างหัวฉีดไปเลย (และได้ขายของไปในตัว 555) แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ไม่ได้เติมทุก 10000 km นะ ขวดที่ซื้อมานี่ก็ 40000 km แล้วเพิ่งจะได้เติม

รีวิวจากการใช้งานจริง

โอเค หลักการพูดกันมาเยอะละ มาลองใช้จริงดูเลย

น้ำยาล้างหัวฉีด จำเป็นไหม

วิธีใช้ก็เติมน้ำมันให้เติมถัง แล้วใส่น้ำยาล้างหัวฉีดลงไป

รีวิว น้ำยาล้างหัวฉีด mazda

หมดขวดแล้วก็เอาออก จากนั้นก็ใช้งานรถตามปกติ

รีวิว fuel deposit cleaner มาสด้า

ความรู้สึกหลังจากเติมน้ำยาล้างหัวฉีดและใช้ไปสักระยะหนึ่ง พบว่า อาการสั่นตอบรอบต่ำๆ ลดลง คือเวลาเข้าเกียร์ D เหยียบเบรครอติดไฟแดง พอแอร์ทำงาน เดิมสั่นเล็กน้อยจนคิดว่านี่คือปกติแล้ว พอเติมขวดนี้ลงไปมันนิ่งกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ และก็รู้สึกว่าอัตราเร่งดีขึ้นด้วย (แต่อันหลังนี้พูดยาก อาจจะอุปทานไปเองได้ เพราะไม่ได้จับเวลา 0-100 km/h) นอกนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก เพราะรถก็ยังใหม่อยู่วิ่งไปแค่ 4 หมื่นกว่าๆ กิโลเอง แต่อย่างน้อยก็มีผลที่ให้รู้สึกได้ สำหรับราคา 250 บาท นานๆ เติมทีแล้วได้ผลแบบนี้ก็ถือว่าโอเคอยู่ ต่อจากนี้ถ้าไม่ลืมจะเติมทุกการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

สรุป

Q: น้ำยาล้างหัวฉีด ได้ผลจริงไหม
A: จริง ทั้งจากการทดลองในห้อง Lab และการทดลองใช้งานจริง มีภาพถ่ายยืนยันว่าลูกสูบและวาล์วไอดีสะอาดขึ้นจริง และสำหรับตัวผมเอง การเติมน้ำยาล้างหัวฉีดช่วยแก้ปัญหาเครื่องเดินเบาไม่เรียบได้จริง (ในกรณีที่ปัญหามันเกิดจากคราบสกปรก ไม่ใช่เกิดจากสาเหตุอื่น) แต่ต้องใช้เป็นประจำ (2-3 หมื่นโลครั้งนึง) ไม่ใช่แสนกิโลใช้ครั้งหนึ่ง แบบนี้ได้ผลน้อย เพราะคราบสกปรกแข็งตัวแน่นแล้ว

Q: น้ำยาล้างหัวฉีด จำเป็นไหม
A: จำเป็นสำหรับบางยี่ห้อ เช่น มาสด้า ที่ได้ระบุมาในคู่มือเลยว่าต้องเติมและมีสิทธิปฏิเสธการรับประกันการซ่อมได้ ส่วนยี่ห้ออื่นที่เป็นเครื่องยนต์แบบ Direct Injection ก็ควรเติมเช่นกัน หรือถ้าคุณอยู่ในบริเวณที่น้ำมันสกปรก (ปั๊มเก่าๆ ตามต่างจังหวัด ความเสี่ยงจะสูง)

สรุปคือ ถ้ามีงบเหลือ เติมไปเถอะครับ 2-3 หมื่นกิโลเติมสักขวดก็ยังดี บางครั้งเรายอมเสียเงินหลักร้อยในตอนนี้ แต่ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายและค่าเสียเวลาในตอนนั้นอาจจะมากกว่าเงินที่ประหยัดในตอนนี้ซะอีก

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ