จากตอนที่แล้ว เราพูดถึงวิธีการสั่งของจาก AliExpress ยังไงไม่ให้โดนภาษี วันนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกวิธี shipping หรือการส่งของในแต่ละแบบ ว่าแบบไหนจะใช้เวลาเท่าไหร ใครเป็นคนส่ง ของพังไหม ฯลฯ

ปกติร้านค้าแต่ละร้านจะเป็นคนกำหนดว่า สินค้าชิ้นนั้นๆ จะเลือกส่งแบบไหนได้บ้าง ของที่มีขนาดเล็กราคาถูกมากๆ ส่วนใหญ่ ร้านจะให้เลือกส่งแบบไม่ลงทะเบียนซะมากกว่า เนื่องจากถ้าให้ส่งแบบแพงจะไม่คุ้มกำไร (ค่าส่งแพงกว่าค่าของ) ส่วนของใหญ่ๆ หรือของที่มีราคาแพงบางร้านตัดปัญหา ให้ส่งได้แต่แบบ DHL FedEx ก็มี สำหรับ shipping method ที่ผมเจอ และได้เคยใช้มาก็มีดังนี้ครับ

aliexpress-shipping-method-review

1) China Post Registered Air Mail

อันนี้คือไปรษณีย์ของจีนแบบลงทะเบียน ส่งทางอากาศ เมื่อเครื่องลงที่ไทยแล้วจะส่งมอบให้ไปรษณีย์ไทยเป็นคนส่งต่อ เนื่องจากเป็นการส่งแบบลงทะเบียน จะไม่มีการมาโยนไว้หน้าบ้าน ต้องมีผู้เซ็นรับเสมอ และเราสามารถ Track Status ได้ว่าของติดอยู่ที่ไหน ที่เคยเจอใช้เวลาเร็วสุดตั้งแต่สั่งจนถึงได้รับของคือ 8 วัน ช้าสุด 16 วัน (รวมเสาร์-อาทิตย์) สำหรับผมคิดว่าอันนี้โอเคที่สุด ไม่เคยเจอปัญหาเลย ยิ่งถ้าสั่งของไม่แพง ship แบบนี้จะไม่ค่อยโดนภาษีด้วย

2) AliExpress Standard Shipping

อันนี้ส่งโดย AliExpress เป็นคนดำเนินการเอง ซึ่งเค้าก็ให้บริษัทขนส่งเจ้าอื่นมารับช่วงต่อไปอยู่ดี ซึ่งทำให้ของอาจจะต้องวนไปที่ประเทศอื่นก่อนค่อยมาประเทศไทยในบางครั้ง เช่น ถ้าได้ Singapore Post เป็นคนส่ง ของอาจจะแวะไปที่สิงค์โปรก่อน ค่อยกลับมาไทยก็ได้ ทำให้ช้ากว่า China post อยู่บ้าง แต่ก็แลกกับค่าส่งที่ถูกกว่า (ส่วนใหญ่ร้านมักจะ Free Shipping ถ้าเราเลือกส่งวิธีนี้) ถือเป็นการส่งแบบลงทะเบียนเหมือนกัน สามารถเอา Tracking Number ไปเช็คสถานะได้ว่าของอยู่ไหน ส่วนตัวก็ยังไม่เคยเจอปัญหากับวิธีนี้

3) EMS

ส่งโดย China EMS ซึ่งอย่าเข้าใจผิดว่ามันจะเร็วเหมือน EMS ของไทย วิธีนี้นอกจากแพงแล้วยังไม่ได้เร็วอีกด้วย (แถมมีคนบอกว่าของหายด้วยนะ) ถ้าคุณยอมจะจ่ายค่าส่งแพงเพราะอยากได้ของเร็วละก็ ลองไปดู DHL FedEx เถอะ

4) AliExpress Premium Shipping

ดำเนินการส่งโดย AliExpress คล้ายๆ กับ Standard Shipping แต่ตอนมาถึงไทยจะส่งต่อให้ DHL แทนที่จะเป็นไปรษณีย์ไทย ปัญหาคือมันไม่ได้เร็วขึ้นเท่าไหรเลย เพียงแต่ให้ความอุ่นใจขึ้นเรื่องของไม่พัง ไม่หายขึ้นมาหน่อย พูดภาษาชาวบ้าน มันคือ DHL เวอร์ชั่นถูกนั่นเอง (จากใจจริง เลือกส่งแบบ Standard เถอะ)

5) FedEx และ DHL

อันนี้น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ของมาเร็วมาก ประมาณ 3 วันก็ถึงแล้ว (นับจากวันที่ผู้ขาย ship นะครับ ไม่ใช่นับจากตอนเรากด Order) แต่ก็แลกกับค่าส่งที่แพงน้ำตาไหลพราก กับการโดนภาษีแบบเต็มๆ เพราะโดนตรวจทุกชิ้น เหมาะสำหรับสายเปย์ที่อยากได้ของเร็วโดยไม่จำกัดงบ

6) Seller’s Shipping Method

อันนี้ตามชื่อเลย คือคนขายส่งเองตามใจฉัน ก็แล้วแต่ดวงเลยครับ เค้าจะเลือกส่งแบบไหนเราไม่มีทางรู้เลย (แต่คงไม่ใช่ DHL แน่ๆ) ซึ่งมักเจอกับของราคาถูกๆ ที่ส่งพวก China Post แล้วไม่คุ้ม ที่เคยเจอคือตอนนั้นสั่งของราคา 40 บาท ส่งฟรี คนขายใช้ขนส่งเอกชนเจ้าเล็กๆ ค่าส่งถูกๆ ส่งมาให้แบบไม่ลงทะเบียน ประมาณ 20 กว่าวัน ปณ ไทยมาหย่อนไว้ในตู้หน้าบ้าน สภาพห่อก็โทรมๆ หน่อยตามคาด

7) Singapore Post

อันนี้จะคล้ายๆ กับส่ง China Post เพียงแต่ว่าของมักจะแวะวนไปที่ประเทศสิงค์โปรก่อน (อารมที่ว่างบนเครื่องบินเหลือเลย ship มาด้วยกัน) จากนั้นค่อยส่งมาไทย ที่เคยใช้ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่จะช้ากว่า China Post นิดหน่อย

8) อื่นๆ

บางครั้ง เพื่อลดต้นทุนค่าส่ง คนขายมักจะใช้ขนส่งเอกชนที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อ เช่น Yanwen, SF, Cainiao อะไรประมาณนี้ อันนี้ก็แล้วแต่ดวงเลยครับ สำหรับผมจะพยายามเลี่ยง ยกเว้นสั่งของราคาถูกๆ ไม่ถึงร้อยบาท

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลเรื่องของหาย หรือของไม่มาส่งจนมากเกินไป เพราะถ้าเราไม่ได้รับ สามารถเปิด Dispute กับทาง AliExpress ได้ ซึ่งผมเคยเปิดไปก็ได้รับเงินคืนมาไม่ได้ยากเย็นอะไร ยิ่งถ้าใครซื้อของบ่อยๆ จนได้เลื่อนระดับเป็น Platinum หรือ Diamond แล้วละก็ พอเราเปิด Dispute นี่ AliExpress จะคืนเงินให้ทันทีก่อนจะเริ่มดูเคสด้วยซ้ำ หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์บางนะครับ

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ