ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลานอนแล้วชอบคัดจมูกมาก ถึงจะพยายามซักผ้าปูที่นอนบ่อยๆ เอาหมอนไปตากแดดแล้วก็ตาม ไม่กี่วันก็รู้สึกคัดจมูกอีกแล้ว
ปัจจุบันเริ่มเห็นบริการกำจัดไรฝุ่นที่บ้านได้รับความนิยมมากขึ้น (แบบที่มาดูดให้ถึงบ้านเลย) แต่ส่วนตัวผมเป็นคนขี้เกียจโทรนัด และรักความเป็นส่วนตัวไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องนอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงเริ่มมองหาเครื่องดูดไรฝุ่นมาใช้เอง
*Disclaimer* ผมไม่ได้ถูกจ้างให้มารีวิว ทั้งหมดเกิดจากการเลือกซื้อเอง จ่ายเงินเอง ใช้เองทั้งหมด 100%
จริงๆ หลักการของเครื่องดูดไรฝุ่นไม่มีอะไรซับซ้อน เกือบจะเหมือนเครื่องดูดฝุ่นทั่วไปคือที่หัวดูดจะมีแปรงขน สลับกับแผ่นยางที่หมุนด้วยความเร็วสูงเพื่อตีกับที่นอนหรือหมอน (ตีเบาๆ แต่ตีด้วยความเร็วมากเพื่อสะเทือนให้ไรฝุ่นหลุดออกมา) จากนั้นดูดเข้าเก็บไว้ในถัง โดยจะต้องมีไส้กรอง HEPA เพื่อไม่ให้ไรฝุ่น หรือฝุ่นขนาดเล็กหลุดกลับออกมาทางช่องลมออกได้ ส่วน Feature เสริมอื่นๆ จะแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ เช่นบางรุ่นจะมีหลอด UV ฆ่าเชื้อโรคให้ บางรุ่นโฆษณาว่าดูดแรงกว่าเจ้าอื่น ฯลฯ
จริงๆ ตอนแรกลังเลอยู่ว่าจะซื้อของ Philip ที่สุดท้ายผมเลือก Sharp EC-HX100 รุ่นนี้จะมีกลไลเสริมขึ้นมาพิเศษหลายอย่างคือ
1. การหมุนเวียนเอาลมร้อนที่ออกมาจากเครื่องเป่าลงไปในที่นอนก่อน ซึ่ง Sharp เคลมว่าจะทำให้ดูดไรฝุ่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากไรฝุ่นเมื่อถูกความร้อนก็จะปล่อยขาที่จับเส้นใยผ้าออกมา
2. Sharp ใส่ระบบ Plasma Cluster (แบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่องกรองอากาศ) เพื่อปล่อยประจุฆ่าเชื้อโรคและลดกลิ่นอับ
3. ระบบดูดแบบ Cyclone ก็คือฝุ่นส่วนใหญ่จะถูกดูดแล้วหมุนวนอยู่ในถังเก็บฝุ่นแทนที่จะไปกองอยู่ที่ Filter ช่องลมออก ทำให้แรงดูดไม่ตกเมื่อฝุ่นสะสมในถัง
โฆษณามาซะขนาดนี้ ก็เลยลองซื้อมาใช้ดู จริงๆ เล็งไว้อีกตัวคือ Philip FC6230 ซึ่งราคาถูกกว่าหลายพัน แต่สุดท้ายเลือก Sharp เพราะมีกำลังดูดสูงกว่า (Sharp 700W ส่วน Philip 450W) ประกอบกับมี Feature เสริมที่มากกว่า
รูปร่าง
หน้าตาของเครื่องก็ดูแปลกๆ เหมือนกาต้มน้ำ ซึ่งจะมาพร้อมขาตั้งพร้อมที่เก็บสาย
ถังเก็บฝุ่น ซึ่งเป็นระบบดูดแบบ Cyclone (หน้าตาเหมือนหลอดเก็บสารทดลองอะไรสักอย่างในหนัง Sci-Fi)
ด้านล่างจะเป็นช่องปล่อยลมร้อนที่ออกมา อีกด้านจะเป็นใบพัดยางเอาไว้ตีที่นอนและช่องดูดลม
การใช้งาน
เมื่อเปิดเครื่องจะมีไฟสถานะบอกว่าลมที่เป่าออกมานั้นร้อนพอที่จะทำให้ไรฝุ่นหลุดออกจากผ้าหรือยัง โดยจะกระพริบเมื่อเริ่มเปิดเครื่อง และจะติดค้างเมื่อลมมีอุณหภูมิที่เหมาะสมแล้ว
สวิทช์จะมีปุ่มเดียว เมื่อกดครั้งแรกจะเป็นโหมด Auto คือเครื่องจะปรับแรงดูดเอง แต่ถ้าเรากดไปอีกครั้งจะเป็นการทำงานที่แรงดูดสูงสุด
หลังจากลองใช้จริง ดูดเสร็จก็จะได้ประมาณนี้ เยอะมาก
จากนั้นลองนอนดู พบว่า อาการคัดจมูกลดลงไปประมาณ 80%!!!
คือมันก็ยังมีคัดจมูกเล็กน้อยๆ แต่น้อยลงไปเยอะกว่าก่อนดูดมากๆ ถือว่าน่าพอใจ
สรุปการรีวิว
จากการใช้งานจริงมา น่าจะ 6 เดือนได้แล้วตั้งแต่ซื้อ (เพิ่งจะได้มาเขียนรีวิว 5555) สรุปข้อดี ข้อเสียได้ดังนี้
ข้อดี
+ ดูดแรงดีถ้าเปิดความแรงสูงสุด แปปเดียวดูดฝุ่นได้เยอะเลย
+ ดูดฝุ่นได้เยอะมากกกก เยอะจนน่าตกใจว่าเรานอนคลุกอยู่กับสิ่งเหล่านี้ทุกคืนได้อย่างไร
+ ดูดเสร็จแล้วรู้สึกถึงความสะอาดได้ชัดเวลาสัมผัสที่นอน ไรฝุ่นหายไปหมดไหมอันนี้ไม่รู้ แต่อาการคัดจมูกหายไปเยอะจริงๆ (อันนี้ถือว่าเป็นข้อที่ดีที่สุด เพราะตรงจุดประสงค์)
+ Feature เยอะกว่ายี่ห้ออื่น มี Plasma Ion ฆ่าเชื้อให้ด้วย
+ ถังเก็บถอดล้างง่าย ไส้กรองสกปรกช้ามากกกก เพราะระบบดูดแบบ Cyclone
ข้อเสีย
– แพงกว่าชาวบ้าน (ซื้อตอนลด ประมาณ 7,xxx บาท)
– เครื่องมีน้ำหนักพอสมควร แม่บ้านร่างเล็กอาจจะรู้สึกหนักนิดหน่อย
– โหมด Auto ที่เหมือนจะไม่ค่อยได้ใช้ เพราะสุดท้ายก็เปิดแรงสุดอยู่ดี จะได้ดูดเกลี้ยงๆ
– ไม่สามารถเปิดแรงดูดสูงสุดนานๆ ได้ เพราะความร้อนจะสะสมแล้วจะเครื่องจะลดกำลังดูดลงอัตโนมัติ (อันนี้เป็น Design Flaw รึเปล่าไม่แน่ใจ?)
ถ้าใครมีอาการคัดจมูกเวลาขึ้นที่นอนประจำ ลองซื้อตัวนี้มาใช้ดูน่าจะช่วยได้ แต่ยังไงก็ตาม หมั่นซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนบ้าง เพราะถึงจะดูดดียังไง ก็คงดูดคราบสกปรกและเชื้อโรคออกไปไม่ได้แน่ๆ โพสนี้ก็ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ
อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ