mi-air-purifier-3h-review-3

ดูเหมือนว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะเป็นปัญหาเดิมๆ ที่วนเวียนกลับมาหลอกหลอนเราได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะฤดูหนาว สำหรับตัวผมเอง ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการอยู่ในบ้านปิดหน้าต่างแล้วเปิดเครื่องฟอกอากาศเอา แต่ถ้าคุณมีเครื่องวัดฝุ่น PM 2.5 แล้วสังเกตดีๆ จะเห็นว่าบางครั้ง วันที่ฝุ่นมากๆ เครื่องฟอกอากาศก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน เช่น นอกบ้าน 190 ในบ้านอาจจะอยู่ที่ 30-40 ซึ่งก็ยังไม่ปลอดภัยตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ปัญหานี้แก้ไขได้โดยการซื้อเครื่องฟอกอากาศที่รองรับห้องขนาดใหญ่กว่าห้องของเรา

เครื่องฟอกอากาศของ Xiaomi ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ทุกคนเริ่มรู้จักเป็นอย่างดี เพราะมีประสิทธิภาพการกรองที่ดี รองรับการเชื่อมต่อ App แถมราคาถูกอีกต่างหาก ซึ่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Xiaomi ก็ได้เปิดตัวเครื่องฟอกอากาศเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว มีชื่อว่า Mi Air Purifier 3H ที่ได้ทำการคงข้อดีเดิมๆ ไว้และแก้ไขข้อเสียที่คนบ่นกันมากในรุ่นก่อนๆ ซึ่งผมก็ได้ตัดสินใจลองซื้อมาใช้แทนเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อหนึ่งที่ซื้อมา

แพ็คเกจและตัวเครื่อง

กล่องของ Mi Air Purifier 3H จะพิมพ์ลายเป็นแนวตั้ง ต่างจากของเดิมที่จะเป็นแนวนอน

mi-air-purifier-3h-review-1

ส่วนภาพข้างล่าง อันนี้กล่องของ 2S

mi-air-purifier-2s-box

อย่างไรก็ตาม เมื่อแกะออกมาแล้ว ตัวเครื่อง 3H Design แทบไม่ได้ต่างจากรุ่น 2S เท่าไหรนัก

mi-air-purifier-3h-review-2

mi-air-purifier-3h-review-3

ด้านหลังยังคงเป็น laser sensor ตรวจจับ PM 2.5 และปุ่มปรับความสว่างของหน้าจอเหมือนเดิม

mi-air-purifier-3h-review-5

โดยในส่วนของหน้าจอ จะเป็นแบบสัมผัส จะไม่มีปุ่มกดด้านบนเหมือนรุ่น 2S อีกต่อไปแล้ว

mi-air-purifier-3h-review-6

mi-air-purifier-3h-review-7

ข้อแตกต่างจากรุ่นก่อน

สิ่งที่เป็นข้อเสียในรุ่น 2S ที่ถูกแก้ไขในรุ่น 3H ก็คือเราสามารถปรับความแรงของพัดลมได้เองโดยไม่ต้องไปตั้งค่าใน Favorite Mode (ซึ่งต้องทำผ่าน Mi Home App) นอกจากนี้ เครื่องจะจำ Mode สุดท้ายที่เราเลือกและไม่เปลี่ยนไปเป็น Auto Mode เองโดยพละการเมื่อทำงานไป 3 ชั่วโมง ซึ่งทำให้รุ่น 3H ไม่จำเป็นต้องพึ่ง App ในการใช้งานเท่าไหรนัก แต่ถึงกระนั้น รุ่นนี้ก็ยังเพิ่ม Feature ให้รองรับการสั่งงานผ่านเสียงด้วย Google Assistant และ Alexa (อาจจะยังไม่แพร่หลายในไทยนัก)

วิธีการเปลี่ยนโหมดคือสัมผัสหน้าจอ ถ้าอยากเปิด-ปิดเครื่องให้กดค้าง ในรูปนี่คือเปิดพัดลมเบอร์ 3 จะเห็นมีว่ามี 3 ขีด

รูปนี้คือ Mode Favorite ที่เราตั้งค่าใน App ได้ เหมือนกับในรุ่นก่อน

mi-air-purifier-3h-review-9

สิ่งสำคัญที่เปลี่ยนไปในรุ่น 3H ก็คือ พัดลมแบบเทอร์ไบน์ (นึกถึงพัดลมไอพ่นเครื่องบินเจ็ท) ซึ่ง Xiaomi บอกว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม ทำให้รองรับพื้นที่ห้องเพิ่มมากขึ้น จากเดิมรุ่น 2S รองรับห้องขนาดใหญ่สุดที่ 37 ตรม. แต่รุ่น 3H นั้นเพิ่มไปเป็น 45 ตรม. ซึ่งการเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้ด้านบนของเครื่องจะเป็นช่องลมออกเต็มพื้นที่ ไม่เหมือนของเดิมที่มีการเว้นขอบไว้

สำหรับไส้กรองก็ได้รับการอัพเกรดเช่นเดียวกัน จากเดิม HEPA Class 12 เป็น Class 13 เพื่อรองรับพัดลมที่แรงขึ้นทำให้กรองได้ละเอียดกว่าเดิม ซึ่งขนาดไส้กรองจะเท่ากับของรุ่น 2S เป๊ะ ทำให้ใช้แทนกันได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่แนะนำเท่าไหร เพราะจะกรองได้ไม่ละเอียดเท่า เพราะไส้กรองของ 2S ออกแบบมารองรับความแรงของลมที่เบากว่า หากเอามาใช้กับ 3H จะทำให้กรองไม่ดี

mi-air-purifier-3h-review-12

หากคุณซื้อรุ่นที่เป็น Global Version คู่มือจะมีภาษาไทยมาด้วย รวมถึงเมนูบนหน้าจอจะเป็นภาษาอังกฤษ

mi-air-purifier-3h-review-10

การใช้งานจริง

เมื่อทดสอบกับห้องนั่งเล่นที่มีขนาด 23 ตรม. เปิดพัดลมสูงสุด พบว่าเครื่องสามารถลด PM 2.5 จากระดับ 60 ไปเหลือ 1 ได้ในเวลาแค่ 10 นาที

mi-air-purifier-3h-review-10

ลองเอาอาหารกลิ่นแรงๆ เข้ามากินในห้อง รอไม่นานเพียงแค่ 5 นาทีกลิ่นก็หายไป (ถูกคาร์บอนในไส้กรองดูดซับไว้หมด) หายใจแล้วรู้สึกโล่งอย่างชัดเจน (ไม่ได้โม้นะ ลองใช้ดูแล้วจะรู้) อย่างไรก็ตามพัดลมแบบเทอร์ไบน์ที่ Xiaomi บอกว่าเสียงเงียบนั้น ถ้าเปิดแรงสุดผมก็ว่ามันยัง”ดังมาก”อยู่ดี หวังว่ารุ่นถัดไปจะแก้ไขตรงนี้

สรุป

คะแนนรวม

Mi Air Purifier 3H ถือว่าได้ปรับปรุงข้อเสียในรุ่นก่อนหน้าเยอะพอสมควร เช่น หน้าจอสัมผัส การปรับพัดลมแบบ Manual โดยไม่ใช่ App การอัพเกรดไส้กรอง พัดลมแบบใหม่ที่แรงขึ้น การรองรับห้องขนาดใหญ่กว่าเดิม ราคาตอนนี้แพงกว่ารุ่น 2S อยู่ไม่มาก หากมีช่วงโปร ถ้าเลือกได้ซื้อรุ่นใหม่จะดีกว่า

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ