ac-dry-mode

หลายคนคงสงสัยว่าแอร์โหมด dry มีไว้ทำอะไร

ตามชื่อเลย โหมด Dry ก็คือ โหมดทำความแห้ง หรือโหมดดูดความชื้นนั้นเอง สังเกตไหมว่าเวลาฝนตก อากาศชื้นๆ เราจะรู้สึกอึดอัด ถ้าใครมีเกจวัดความชื้นสัมพัทธ์จะเห็นเลยว่าบางครั้งขึ้นไปถึง 90%

(นี่คือตัวอย่างของเกจวัดความชื้น 51% นี่ก็ถือว่ากำลังสบายๆ ถ้าเกิน 70% จะเริ่มอึดอัด)

ac-humitdity-dry-mode

โดยปกตินั้น แอร์จะลดความชื้นในอากาศอยู่แล้ว เพราะไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศพอมาเจอความเย็นจัดที่แผงคอยล์เย็นจะเกิดการควบแน่น รวมเป็นหยดลงถาดรองน้ำแอร์ และไหลออกไปทางท่อน้ำทิ้ง อากาศในห้องก็จะแห้งลงนั่นเอง

ac-drain

แต่ปัญหาคือ เวลาฝนตก อากาศจะเย็นอยู่แล้ว ถ้าเราเปิดแอร์ ทำงานได้แป๊ปเดียวก็ตัด นอกจากความชื้นยังไม่ทันออกไปแล้ว เราจะยิ่งรู้สึกอึดอัดกว่าเดิมด้วย จึงเป็นที่มาของโหมด DRY เพราะโหมดนี้ จะวัดความชื้นในอากาศแล้วพยายามทำให้แผงคอยล์เย็น เย็นที่สุดเพื่อเอาความชื้นออกไปให้ได้มากที่สุด โดยไม่สนว่าอุณหภูมิจะเป็นเท่าไหร แต่สิ่งที่แตกต่างจากโหมดปกติอีกอย่างก็คือ พัดลมแอร์จะทำงานแค่เพียงบางช่วงเวลาตามความจำเป็นเท่านั้น เพื่อให้อากาศที่แห้งกระจายไปทั่วๆ ห้อง

แล้วอันไหนมันประหยัดไฟกว่ากัน

แน่นอนว่าโหมด dry ย่อมประหยัดไฟกว่า เพราะพัดลมแอร์ไม่ได้ทำงานเพื่อดูดลมร้อนเข้ามาตลอดเวลาเหมือนโหมดปกติ แต่นั่นก็หมายความว่าห้องก็จะไม่ค่อยเย็นด้วยนะ จากที่ลองทดสอบเองพบว่าโหมด dry ประหยัดไฟกว่าประมาณ 50% เลยทีเดียว แต่เอาจริงๆ อากาศประเทศไทยตอนร้อนมาก โอกาสได้เปิดโหมด dry ก็คงมีไม่บ่อย ยกเว้นตอนหน้าฝน ดังนั้น วันไหนที่อากาศเย็นและชื้น ควรเปิดโหมด Dry แต่ถ้าวันไหนอากาศร้อน ก็ควรเปิดโหมดปกติ (โหมด Cool)

แต่ถ้าจะเอาทั้งประหยัดด้วยและเย็นสบายด้วย ก็ต้องใช้สูตรตั้งแอร์ 27 องศาและเปิดพัดลมตั้งพื้นไปพร้อมกัน อันนี้หลายคนลองทดสอบกันมาแล้วว่าค่าไฟลดลงไปมากกว่าครึ่งจริงๆ จ้า!!

อย่าลืมติดตามบทความจากบล็อกนี้จากได้ทาง Facebook Page บล็อกนายช่าง และกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำบล็อกนี้ต่อไปด้วยนะครับ